Site structure หรือโครงสร้างเว็บไซต์ และข้อมูลที่ควรรู้
Site structure หรือโครงสร้างเว็บไซต์ เป็นรูปแบบการจัดเรียงหน้าเว็บไซต์ของเว็บไซต์ ซึ่งเป็นการกำหนดว่าเนื้อหาของเว็บไซต์จะถูกแสดงอย่างไร รวมถึงวิธีการเชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์แต่ละหน้ากันให้สอดคล้องกันอย่างเหมาะสม
การสร้าง site structure ที่ดีสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดายและสามารถเข้าใจได้ดี เช่น การจัดเรียงเมนูหรือเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ให้มีลำดับตามลำดับของหัวข้อหรือเนื้อหา การใช้คำสำคัญเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงกับหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ การใช้ URL ที่สื่อความหมายได้ชัดเจน และอื่นๆ
การออกแบบ site structure ควรคำนึงถึงประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหา และการให้การสนับสนุนที่เหมาะสมกับการทำ SEO (Search Engine Optimization) เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาในเครื่องมือค้นหาต่างๆ เช่น Google และ Bing โดยเฉพาะ
การออกแบบ site structure ที่ประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์มีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้
- การจัดเรียงหน้าเว็บไซต์: หน้าเว็บไซต์ควรจัดเรียงเป็นลำดับเหมาะสมเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้โดยง่าย ๆ และเข้าใจได้ดี โดยควรจัดเรียงตามหลักการที่เหมาะสมเช่น การจัดเรียงตามลำดับของเนื้อหา หรือการจัดเรียงตามหมวดหมู่ของเนื้อหา
- การใช้ URL ที่สื่อความหมายได้ชัดเจน: URL หรือที่อยู่ของหน้าเว็บไซต์ควรใช้ชื่อที่สื่อความหมายได้ชัดเจน และสอดคล้องกับเนื้อหาที่อยู่ในหน้านั้น ๆ โดย URL ที่ดีควรมีโครงสร้างที่เข้าใจง่ายและมีประสิทธิภาพในการทำ SEO และการแบ่งปันบนโซเชียลมีเดีย
- การใช้โครงสร้างของเนื้อหา: โครงสร้างของเนื้อหาควรมีความสอดคล้องกับหัวข้อหรือเนื้อหาที่อยู่ในหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ โดยการใช้ Heading tag ในการจัดลำดับเนื้อหา และใช้คำสำคัญที่สื่อความหมายได้ชัดเจนเพื่อช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพในการทำ SEO
- การใช้เมนู: เมนูหรือ Navigation ควรถูกออกแบบให้สอดคล้องกับโครงสร้างของเนื้อหาและประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหา โดยควรจัดเรียงอย่างเหมาะสมและทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
- การใช้ Search function: การใช้ฟังก์ชันการค้นหาเป็นอีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและสะดวกมากขึ้น
- การทำให้เว็บไซต์เป็น responsive: เว็บไซต์ควรออกแบบให้เป็น responsive หรือสามารถปรับขนาดและรูปแบบได้ตามขนาดของหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่และทุกเวลา
การออกแบบ site structure ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหาจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทำให้เว็บไซต์มีความน่าสนใจและเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นด้วย
Site structure ที่ไม่ดีอาจมีผลเสียต่อ SEO ของเว็บไซต์ได้หลายประการดังนี้:
- การทำ Site structure ที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจน Site structure ที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถระบุหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาได้อย่างถูกต้อง ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดตำแหน่งที่ต่ำกว่าในผลการค้นหา
- การใช้ URL ที่ไม่สะดวกสบาย URL ที่ยาวหรือซับซ้อนอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการจำ URL และทำให้ผู้ใช้งานไม่มีแรงจูงใจในการแชร์ URL ของเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการแชร์และสร้าง Backlink ได้น้อยลง
- การใช้เทคนิค SEO ที่ไม่เหมาะสม การใช้เทคนิค SEO ที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ Keyword stuffing หรือ Cloaking อาจทำให้เว็บไซต์ถูกตัดสิทธิ์การแสดงผลในการค้นหา และถูกปรับลดอันดับในผลการค้นหา
- การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ Flash หรือ JavaScript ในการสร้างเว็บไซต์ อาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถอ่านและแสดงผลการค้นหาได้อย่างถูกต้อง และทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์
- การไม่เชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์ใน Site structure อย่างถูกต้อง การไม่เชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์ใน Site structure อย่างถูกต้องอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาบางส่วนของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง และทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการใช้งานเว็บไซต์
- การไม่ให้เนื้อหาของเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Search engine การไม่ให้เนื้อหาของเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Search engine อาจทำให้ Search engine ไม่สามารถระบุความสำคัญของเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง และทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการประเมินค่าของ Search engine โดยสม่ำเสมอ
- การไม่มีการอัพเดต Site structure การไม่มีการอัพเดต Site structure เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้ SEO ของเว็บไซต์ลดลง ซึ่งเป็นเหตุผลเพราะว่า Search engine ตลอดเวลามีการอัพเดตอัลกอริทึมของตนเองเพื่อปรับปรุงการค้นหาให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานอยู่เสมอ ดังนั้น การอัพเดต Site structure เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีความเข้ากันได้กับอัลกอริทึมใหม่ ๆ ของ Search engine และเพิ่มโอกาสในการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์การอัพเดต Site structure นั้นไม่จำเป็นต้องทำทุกครั้ง แต่ควรทำเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น เพิ่มหรือลบหน้าเว็บไซต์ หรือเปลี่ยนชื่อ URL ของหน้าเว็บไซต์ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ Search engine มีการระบุความสำคัญของเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง และช่วยให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถเข้าถึงเนื้อหาใหม่ ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วนอกจากนี้ การอัพเดต Site structure ยังสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Search engine ได้อีกด้วย โดยเว็บไซต์ที่มี Site structure ที่อัพเดตอยู่เสมอจะมีโอกาสในการปรับปรุง SEO
- การจัดเรียงหน้าเว็บไซต์: หน้าเว็บไซต์ควรจัดเรียงเป็นลำดับเหมาะสมเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้โดยง่าย ๆ และเข้าใจได้ดี โดยควรจัดเรียงตามหลักการที่เหมาะสมเช่น การจัดเรียงตามลำดับของเนื้อหา หรือการจัดเรียงตามหมวดหมู่ของเนื้อหา
- การใช้ URL ที่สื่อความหมายได้ชัดเจน: URL หรือที่อยู่ของหน้าเว็บไซต์ควรใช้ชื่อที่สื่อความหมายได้ชัดเจน และสอดคล้องกับเนื้อหาที่อยู่ในหน้านั้น ๆ โดย URL ที่ดีควรมีโครงสร้างที่เข้าใจง่ายและมีประสิทธิภาพในการทำ SEO และการแบ่งปันบนโซเชียลมีเดีย
- การใช้โครงสร้างของเนื้อหา: โครงสร้างของเนื้อหาควรมีความสอดคล้องกับหัวข้อหรือเนื้อหาที่อยู่ในหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ โดยการใช้ Heading tag ในการจัดลำดับเนื้อหา และใช้คำสำคัญที่สื่อความหมายได้ชัดเจนเพื่อช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพในการทำ SEO
- การใช้เมนู: เมนูหรือ Navigation ควรถูกออกแบบให้สอดคล้องกับโครงสร้างของเนื้อหาและประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหา โดยควรจัดเรียงอย่างเหมาะสมและทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
- การใช้ Search function: การใช้ฟังก์ชันการค้นหาเป็นอีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและสะดวกมากขึ้น
- การทำให้เว็บไซต์เป็น responsive: เว็บไซต์ควรออกแบบให้เป็น responsive หรือสามารถปรับขนาดและรูปแบบได้ตามขนาดของหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่และทุกเวลา
การออกแบบ site structure ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหาจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทำให้เว็บไซต์มีความน่าสนใจและเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้นด้วย
Site structure ที่ไม่ดีอาจมีผลเสียต่อ SEO ของเว็บไซต์ได้หลายประการดังนี้:
- การทำ Site structure ที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจน Site structure ที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถระบุหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาได้อย่างถูกต้อง ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดตำแหน่งที่ต่ำกว่าในผลการค้นหา
- การใช้ URL ที่ไม่สะดวกสบาย URL ที่ยาวหรือซับซ้อนอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการจำ URL และทำให้ผู้ใช้งานไม่มีแรงจูงใจในการแชร์ URL ของเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการแชร์และสร้าง Backlink ได้น้อยลง
- การใช้เทคนิค SEO ที่ไม่เหมาะสม การใช้เทคนิค SEO ที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ Keyword stuffing หรือ Cloaking อาจทำให้เว็บไซต์ถูกตัดสิทธิ์การแสดงผลในการค้นหา และถูกปรับลดอันดับในผลการค้นหา
- การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ Flash หรือ JavaScript ในการสร้างเว็บไซต์ อาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถอ่านและแสดงผลการค้นหาได้อย่างถูกต้อง และทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์
- การไม่เชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์ใน Site structure อย่างถูกต้อง การไม่เชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์ใน Site structure อย่างถูกต้องอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาบางส่วนของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง และทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการใช้งานเว็บไซต์
- การไม่ให้เนื้อหาของเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Search engine การไม่ให้เนื้อหาของเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Search engine อาจทำให้ Search engine ไม่สามารถระบุความสำคัญของเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง และทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการประเมินค่าของ Search engine โดยสม่ำเสมอ
- การไม่มีการอัพเดต Site structure การไม่มีการอัพเดต Site structure เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้ SEO ของเว็บไซต์ลดลง ซึ่งเป็นเหตุผลเพราะว่า Search engine ตลอดเวลามีการอัพเดตอัลกอริทึมของตนเองเพื่อปรับปรุงการค้นหาให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานอยู่เสมอ ดังนั้น การอัพเดต Site structure เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีความเข้ากันได้กับอัลกอริทึมใหม่ ๆ ของ Search engine และเพิ่มโอกาสในการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์การอัพเดต Site structure นั้นไม่จำเป็นต้องทำทุกครั้ง แต่ควรทำเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น เพิ่มหรือลบหน้าเว็บไซต์ หรือเปลี่ยนชื่อ URL ของหน้าเว็บไซต์ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ Search engine มีการระบุความสำคัญของเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง และช่วยให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถเข้าถึงเนื้อหาใหม่ ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วนอกจากนี้ การอัพเดต Site structure ยังสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Search engine ได้อีกด้วย โดยเว็บไซต์ที่มี Site structure ที่อัพเดตอยู่เสมอจะมีโอกาสในการปรับปรุง SEO
- การใช้ Search function: การใช้ฟังก์ชันการค้นหาเป็นอีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและสะดวกมากขึ้น
- การทำให้เว็บไซต์เป็น responsive: เว็บไซต์ควรออกแบบให้เป็น responsive หรือสามารถปรับขนาดและรูปแบบได้ตามขนาดของหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่และทุกเวลา
- การใช้ Search function: การใช้ฟังก์ชันการค้นหาเป็นอีกวิธีหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงเนื้อหา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและสะดวกมากขึ้น
- การทำให้เว็บไซต์เป็น responsive: เว็บไซต์ควรออกแบบให้เป็น responsive หรือสามารถปรับขนาดและรูปแบบได้ตามขนาดของหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่และทุกเวลา
- การทำ Site structure ที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจน Site structure ที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถระบุหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาได้อย่างถูกต้อง ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดตำแหน่งที่ต่ำกว่าในผลการค้นหา
- การใช้ URL ที่ไม่สะดวกสบาย URL ที่ยาวหรือซับซ้อนอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการจำ URL และทำให้ผู้ใช้งานไม่มีแรงจูงใจในการแชร์ URL ของเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการแชร์และสร้าง Backlink ได้น้อยลง
- การใช้เทคนิค SEO ที่ไม่เหมาะสม การใช้เทคนิค SEO ที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ Keyword stuffing หรือ Cloaking อาจทำให้เว็บไซต์ถูกตัดสิทธิ์การแสดงผลในการค้นหา และถูกปรับลดอันดับในผลการค้นหา
- การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ Flash หรือ JavaScript ในการสร้างเว็บไซต์ อาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถอ่านและแสดงผลการค้นหาได้อย่างถูกต้อง และทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์
- การไม่เชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์ใน Site structure อย่างถูกต้อง การไม่เชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์ใน Site structure อย่างถูกต้องอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาบางส่วนของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง และทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการใช้งานเว็บไซต์
- การไม่ให้เนื้อหาของเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Search engine การไม่ให้เนื้อหาของเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Search engine อาจทำให้ Search engine ไม่สามารถระบุความสำคัญของเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง และทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการประเมินค่าของ Search engine โดยสม่ำเสมอ
- การไม่มีการอัพเดต Site structure การไม่มีการอัพเดต Site structure เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้ SEO ของเว็บไซต์ลดลง ซึ่งเป็นเหตุผลเพราะว่า Search engine ตลอดเวลามีการอัพเดตอัลกอริทึมของตนเองเพื่อปรับปรุงการค้นหาให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานอยู่เสมอ ดังนั้น การอัพเดต Site structure เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีความเข้ากันได้กับอัลกอริทึมใหม่ ๆ ของ Search engine และเพิ่มโอกาสในการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์การอัพเดต Site structure นั้นไม่จำเป็นต้องทำทุกครั้ง แต่ควรทำเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น เพิ่มหรือลบหน้าเว็บไซต์ หรือเปลี่ยนชื่อ URL ของหน้าเว็บไซต์ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ Search engine มีการระบุความสำคัญของเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง และช่วยให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถเข้าถึงเนื้อหาใหม่ ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วนอกจากนี้ การอัพเดต Site structure ยังสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Search engine ได้อีกด้วย โดยเว็บไซต์ที่มี Site structure ที่อัพเดตอยู่เสมอจะมีโอกาสในการปรับปรุง SEO
- การทำ Site structure ที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจน Site structure ที่ซับซ้อนหรือไม่ชัดเจนอาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถระบุหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาได้อย่างถูกต้อง ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสติดตำแหน่งที่ต่ำกว่าในผลการค้นหา
- การใช้ URL ที่ไม่สะดวกสบาย URL ที่ยาวหรือซับซ้อนอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการจำ URL และทำให้ผู้ใช้งานไม่มีแรงจูงใจในการแชร์ URL ของเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการแชร์และสร้าง Backlink ได้น้อยลง
- การใช้เทคนิค SEO ที่ไม่เหมาะสม การใช้เทคนิค SEO ที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ Keyword stuffing หรือ Cloaking อาจทำให้เว็บไซต์ถูกตัดสิทธิ์การแสดงผลในการค้นหา และถูกปรับลดอันดับในผลการค้นหา
- การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ Flash หรือ JavaScript ในการสร้างเว็บไซต์ อาจทำให้เครื่องมือค้นหาไม่สามารถอ่านและแสดงผลการค้นหาได้อย่างถูกต้อง และทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์
- การไม่เชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์ใน Site structure อย่างถูกต้อง การไม่เชื่อมโยงหน้าเว็บไซต์ใน Site structure อย่างถูกต้องอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาบางส่วนของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง และทำให้ผู้ใช้งานไม่สะดวกในการใช้งานเว็บไซต์
- การไม่ให้เนื้อหาของเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Search engine การไม่ให้เนื้อหาของเว็บไซต์เป็นมิตรกับ Search engine อาจทำให้ Search engine ไม่สามารถระบุความสำคัญของเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง และทำให้เว็บไซต์ไม่ได้รับการประเมินค่าของ Search engine โดยสม่ำเสมอ
- การไม่มีการอัพเดต Site structure การไม่มีการอัพเดต Site structure เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้ SEO ของเว็บไซต์ลดลง ซึ่งเป็นเหตุผลเพราะว่า Search engine ตลอดเวลามีการอัพเดตอัลกอริทึมของตนเองเพื่อปรับปรุงการค้นหาให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานอยู่เสมอ ดังนั้น การอัพเดต Site structure เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีความเข้ากันได้กับอัลกอริทึมใหม่ ๆ ของ Search engine และเพิ่มโอกาสในการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์การอัพเดต Site structure นั้นไม่จำเป็นต้องทำทุกครั้ง แต่ควรทำเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น เพิ่มหรือลบหน้าเว็บไซต์ หรือเปลี่ยนชื่อ URL ของหน้าเว็บไซต์ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ Search engine มีการระบุความสำคัญของเนื้อหาของเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง และช่วยให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถเข้าถึงเนื้อหาใหม่ ๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วนอกจากนี้ การอัพเดต Site structure ยังสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Search engine ได้อีกด้วย โดยเว็บไซต์ที่มี Site structure ที่อัพเดตอยู่เสมอจะมีโอกาสในการปรับปรุง SEO