การเขียนบทความตามหลักSEOที่ถูกต้อง
โครงสร้างของบทความที่ถูกหลัก SEO จะประกอบด้วยหัวข้อ (heading) ระดับสูงสุดคือ H1 และควรมีการใช้คำสำคัญ (keywords) ในเนื้อหาของบทความอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ยังควรใช้ Meta description ที่เหมาะสมและมีความน่าสนใจเพื่อสร้างความสนใจและเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้อ่านบทความ
ตัวอย่างโค้ดสำหรับบทความที่ถูกหลัก SEO
<!DOCTYPE html> <html> <head> <title>หัวข้อบทความ</title> <meta name="description" content="คำอธิบายบทความ" /> </head> <body> <header> <h1>หัวข้อบทความ</h1> </header> <main> <p>เนื้อหาบทความ</p> <p>ใช้คำสำคัญอย่างเหมาะสมในเนื้อหา</p> </main> </body> </html>
<!DOCTYPE html> <html> <head> <title>หัวข้อบทความ</title> <meta name="description" content="คำอธิบายบทความ" /> </head> <body> <header> <h1>หัวข้อบทความ</h1> </header> <main> <p>เนื้อหาบทความ</p> <p>ใช้คำสำคัญอย่างเหมาะสมในเนื้อหา</p> </main> </body> </html>
โครงสร้างของบทความที่ถูกหลัก SEO จะประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้
- หัวข้อ (Heading) ระดับสูงสุด: ใช้ H1 tag ในการกำหนดหัวข้อหลักของบทความ โดยควรจะใช้คำสำคัญในหัวข้อเพื่อเพิ่มความสมเหตุสมผลในการจัดอันดับในแผนผังเว็บไซต์ (sitemap) และเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหา (search engine result page)
- หัวข้อย่อย: หากมีการใช้หัวข้อย่อยให้ใช้ H2 หรือ H3 tag เพื่อระบุเนื้อหาย่อย โดยควรจะใช้คำสำคัญในหัวข้อย่อยเช่นกัน
- เนื้อหา (Content): ในเนื้อหาควรใช้คำสำคัญอย่างเหมาะสมในเนื้อหาโดยไม่ควรเกินจำนวนที่จำเป็น และไม่ควรส่งเสริมคำสำคัญโดยการนำมาเยอะเกินไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพราะอาจทำให้โดนตีความว่าเป็นการใช้เทคนิค Black Hat SEO ซึ่งอาจทำให้เว็บไซต์ถูกปรับลดอันดับหรือถูกลบออกจากการค้นหาได้
- คำอธิบายเพิ่มเติม (Meta description): ใช้ในการอธิบายเนื้อหาบทความเพิ่มเติม โดยควรเขียนอย่างกระชับ และมีความน่าสนใจเพื่อดึงดูดความสนใจและเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้อ่านบทความ
- หัวข้อ (Heading) ระดับสูงสุด: ใช้ H1 tag ในการกำหนดหัวข้อหลักของบทความ โดยควรจะใช้คำสำคัญในหัวข้อเพื่อเพิ่มความสมเหตุสมผลในการจัดอันดับในแผนผังเว็บไซต์ (sitemap) และเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหา (search engine result page)
- หัวข้อย่อย: หากมีการใช้หัวข้อย่อยให้ใช้ H2 หรือ H3 tag เพื่อระบุเนื้อหาย่อย โดยควรจะใช้คำสำคัญในหัวข้อย่อยเช่นกัน
- เนื้อหา (Content): ในเนื้อหาควรใช้คำสำคัญอย่างเหมาะสมในเนื้อหาโดยไม่ควรเกินจำนวนที่จำเป็น และไม่ควรส่งเสริมคำสำคัญโดยการนำมาเยอะเกินไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพราะอาจทำให้โดนตีความว่าเป็นการใช้เทคนิค Black Hat SEO ซึ่งอาจทำให้เว็บไซต์ถูกปรับลดอันดับหรือถูกลบออกจากการค้นหาได้
- คำอธิบายเพิ่มเติม (Meta description): ใช้ในการอธิบายเนื้อหาบทความเพิ่มเติม โดยควรเขียนอย่างกระชับ และมีความน่าสนใจเพื่อดึงดูดความสนใจและเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้อ่านบทความ
โค้ดตัวอย่างสำหรับบทความที่ถูกหลัก SEO อาจมีดังนี้:
<!DOCTYPE html> <html lang="en"> <head> <meta charset="UTF-8"> <title>หัวข้อหลักของบทความ</title> <meta name="description" content="คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาบทความ"> </head> <body> <h1>หัวข้อหลักของบทความ</h1> <h2>หัวข้อย่อย 1</h2> <p>เนื้อหาของบทความ</p> <h2>หัวข้อย่อย 2</h2> <p>เนื้อหาของบทความ</p> <h3>หัวข้อย่อย 3</h3> <p>เนื้อหาของบทความ</p> </body> </html>
<!DOCTYPE html> <html lang="en"> <head> <meta charset="UTF-8"> <title>หัวข้อหลักของบทความ</title> <meta name="description" content="คำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาบทความ"> </head> <body> <h1>หัวข้อหลักของบทความ</h1> <h2>หัวข้อย่อย 1</h2> <p>เนื้อหาของบทความ</p> <h2>หัวข้อย่อย 2</h2> <p>เนื้อหาของบทความ</p> <h3>หัวข้อย่อย 3</h3> <p>เนื้อหาของบทความ</p> </body> </html>
ในตัวอย่างข้างต้น การใช้ tag H1 สำหรับหัวข้อหลักและ tag H2 หรือ H3 สำหรับหัวข้อย่อยถูกนำมาใช้เพื่อสร้างโครงสร้างของเนื้อหาในบทความ และ meta description ถูกใช้เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาบทความ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาในเครื่องมือค้นหาออนไลน์ เช่น Google หรือ Bing ได้ดีขึ้น
นอกจากโค้ดตัวอย่างดังกล่าวแล้ว บทความที่ถูกหลัก SEO ยังควรมีความสมบูรณ์และมีการใช้ keyword ที่เหมาะสมในตัวเนื้อหา โดยใช้ keyword ในการเขียนเนื้อหาโดยมีความสมดุลระหว่างการใช้งาน keyword และความน่าสนใจของเนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีการใช้รูปภาพที่เหมาะสมและมีการใช้ alt tag ในการบอกเนื้อหาของรูปภาพ โดย alt tag จะถูกนำมาใช้ในการค้นหาทางการและช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
สุดท้าย บทความที่ถูกหลัก SEO ยังควรมีการใช้ internal links และ external links เพื่อเชื่อมโยงเนื้อหาภายในบทความหรือเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาภายนอกที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความสมบูรณ์ของเนื้อหาในบทความและเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาในเครื่องมือค้นหาออนไลน์ได้อย่างดีขึ้น